วันพฤหัสบดีที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2562

พุทธแท้ หรือ พุทโธ่ววววววว

 
 
พุทธแท้ หรือ พุทโธ่ววววววว มีเรื่องอยากเล่าให้ฟัง...

กาลครั้งหนึ่ง ณ หมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มวัยกลางคนเมาเหล้านอนกลิ้งไปมาบนถนนเละเทะอย่างกับหมาขี้เรื้อนสิ้นสติ วันๆ ไม่ทำงานทำงานอะไรเลย ทำตัวเป็นที่น่ารังเกียจของชุมชน ใครเห็นต่างเบื่อหน่ายตำหนิดุด่า ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ไปถึงเด็กน้อยตาดำๆ จนมันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

อยู่มาวันหนึ่ง ในระหว่างผู้คนมากมายในงานบุญใหญ่ประจำปีของหมู่บ้าน ชายคนนั้นไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารอย่างที่ควรจะเป็นเพราะโดนตราหน้าว่า เป็นตัวน่ารังเกียจของชุมชน ทันใดนั่นเอง ชายคนนั้นตะโกนด้วยความน้อยใจว่า "สักวันหนึ่งพวกมึงทั้งหมดทั้งหัวหงอกหัวดำทั้งหมดจะต้องยกมือกราบกูแน่นอน"

กาลเวลาล่วงเลยไประยะหนึ่ง คำที่ชายผู้นั้นประกาศก้องในวันนั้นก็เป็นจริงดังว่า ผู้คนล้วนยกมือไหว้และก้มลงกราบชายคนนั้น คำดุด่าที่เคยมีกลับมาวาจาที่ไพเราะจับใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นแค่เพียงชายคนนั้น ตัดสินใจบวชเข้าเป็นสาวกในพระพุทธศาสนา แค่นั้นเอง

เหตุของการตัดสินใจบวชของชายขี้เมาไม่ใช่เพราะต้องการเข้าถึงแก่นธรรม หลักคำสอน ปฎิบัติ ภาวนา และน้อมนำคำสอนไปปฎิบัติเพื่อบำรุงรักษาพระศาสนา แต่เพียงเพราะ ชีวิตมันไม่มีที่ไปแล้ว ข้าวปลาอาหารยังไม่มีปัญญาหาใส่ท้องประทังชีวิต ท้ายสุดจึงเห็นศาสนาเป็นที่พึ่งสุดท้ายเท่านั้นเอง และเมื่อผู้คนเห็นว่าห่มเหลืองแล้วก็สามารถกราบไหว้ได้โดยสนิทใจ

ย้อนกลับไปตอบคำถามก่อนหน้านั้นว่าเรา คือ เราคือพุทธแท้ หรือ แค่พุทโธ่วววว!!!!! กันแน่ เรากราบไหว้สาวก พุทธรูป หรือสัญลักษณ์แห่งพระศาสดาเพียงเพราะนั่นคือสัญลักษณ์ของพุทธโดยไร้ซึ่งแก่นแห่งหลักธรรมของพระองค์เพื่อประโยชน์อันใดกัน

ศาสนาไม่ได้เสื่อมลง เพราะศาสนา คือคำสอน คือธรรมชาติ คือการปฎิบัติให้เกิดประสบการณ์ด้วยตัวเอง แต่ที่เสือมลงทุกวันเพราะคนนับถือศาสนาแต่เพียงเปลือกนอกแล้วพยายามปกป้องเปลือกนอกนั้นจนเข้าไม่ถึงแก่นธรรมที่แท้จริง

วันพฤหัสบดีที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

พระปิดตาหลวงพ่อยุ้ยวัดบางกะปิ รุ่น 3


ว่ากันด้วย "พระเครื่อง" พออายุมากขึ้นก็มาพบว่าตัวเองก็เป็นคนชอบดูพระ ชอบอ่านหนังสือพระ ชอบบูชาพระเหมือนกันนะเนี๊ยะ!!  เวลามีโอกาสไปไหว้พระสถานที่ใดก็จะนิยมบูชาพระมาด้วยเสมอ มาวันนี้เหมือนมีอะไรดลใจสักอย่างให้ต้องทำความสะอาดหิ้งพระ ถึงได้พบว่ามีพระเครื่อง พระบูชาเต็มหิ้งไปหมดบางทีก็บูชามาเอง บางทีผู้ใหญ่ให้มา นานเข้าก็ลืมว่าเป็นพระอะไรบ้าง ประวัติความเป็นมาอย่างไร มีพุทธคุณด้านใดบ้าง วันนี้จึงอยากจะลองหาข้อมูลและบันทึกรายละเอียดเก็บไว้อ่านเองในอนาคตจะได้ไม่ต้องมานั่งคิดนานอีก...

องค์แรก (1) พระปิดตาหลวงพ่อยุ้ยวัดบางกะปิ รุ่น 3

 
(ด้านหน้า)

(ด้านหลัง)  

วิธีการได้มา : พระปิดตาองค์แรกที่ได้รับซึ่งเป็นพระของคุณพ่อที่บูชาในหิ้งพระครอบครัวเห็นมาตั้งแต่ผมยังเด็กแต่ไม่เคยสนใจเลย จนโตเป็นวัยรุ่นต้องเดินทางไปเรียนไกลบ้านคุณพ่อจึงให้มาบูชาแต่ก็ไม่ค่อยได้ห้อยบูชาติดตัวเลยเก็บไว้บูชาบนหิ้งพระมาหลายปีแล้วจนถึงทุกวันนี้

ประวัติความเป็นมา :  พระปิดตา วัดบางกะปิ สร้างขึ้นในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยหลวงตายุ้ย  วัดบางกะปิ หรือ วัดอุทัยธาราม ตั้งอยู่ข้างถนนเพชรบุรีตัดใหม่ เลยสี่แยกอโศกไปเล็กน้อย นับเป็นวัดเก่าแก่วัดหนึ่งในกรุงเทพมหานคร จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์และโบราณวัตถุภายในวัดสันนิษฐานว่าน่าจะสร้างในราวต้นๆ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ วัตถุมงคลของวัดที่สร้างชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ โดยเฉพาะนักเล่นพระและผู้ที่อยู่ในแวดวงนักนิยมสะสมพระเครื่องส่วนใหญ่จะรู้จักเป็นอย่างดี ก็คือ พระกรุเนื้อตะกั่วสนิมแดง รูปทรงสามเหลี่ยม ซึ่งมีลักษณะคล้ายๆ กับพระวัดสามปลื้ม และพระปิดตา ซึ่งมีพุทธคุณยอดเยี่ยมเป็นที่ปรากฏ

พระปิดตา วัดบางกะปิ สร้างขึ้นในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา โดยหลวงตายุ้ย ซึ่งขณะนั้นเป็นพระลูกวัดแก่ๆ ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ แต่ท่านชอบธุดงควัตรไปตามสถานที่ต่างๆ ไกลถึงประเทศพม่า ซึ่งในสมัยนั้นนับว่าการเดินทางยากลำบากและทุรกันดารมาก ถ้าไม่เก่งจริงๆ คงไปไม่ถึงหรือไม่ได้กลับมาเป็นแน่

หลวงตายุ้ยต้องการมีส่วนช่วยประเทศชาติ ด้วยการสร้าง "พระปิดตา" ขึ้น เพื่อแจกจ่ายแก่ทหารที่ออกรบ โดยรวบรวมเศษทองเหลือง ฝาบาตร ขัน โถเก่าๆ ฯลฯ แล้วนำมาหลอม ลงอักขระเลขยันต์ ปลุกเสกด้วยตัวท่านเองโดยตลอด ซึ่งช่วงเวลาเดียวกันนั้น บรรดาพระเกจิอาจารย์ชื่อดังในยุคนั้นหลายๆ วัด ก็ได้จัดสร้างวัตถุมงคลและเครื่องรางของขลังเพื่อแจกจ่ายแก่ศิษยานุศิษย์และผู้ออกศึกสงคราม เพื่อเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวและเป็นกำลังใจให้เชื่อมั่นในพุทธคุณเช่นกัน มีอาทิ หลวงพ่อพริ้ง หลวงพ่อจาด และหลวงพ่อเดิม เป็นต้น

การศึกสงครามในครั้งนั้น นอกจากวัตถุมงคลที่สร้างโดยพระเกจิอาจารย์ชื่อดังจะปรากฏพุทธคุณเข้มขลังแล้ว "พระปิดตา วัดบางกะปิ" ของหลวงตายุ้ย ก็ได้สร้างประสบ การณ์ให้เป็นที่ปรากฏในด้านอยู่ยงคงกระพันและแคล้วคลาดจากภยันตรายจนเป็นที่กล่าวขานด้วยเช่นกัน แต่ด้วยพุทธลักษณะขององค์พระไม่ใคร่จะงดงามต้องตานัก จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยมสะสมเท่าไรนัก

พระปิดตา วัดบางกะปิ ลักษณะเป็นพระเนื้อทองเหลือง ทรงชะลูด หล่อแบบลอยองค์ หูในตัว พิมพ์ด้านหน้า มีพระหัตถ์ 3 คู่ คู่แรก ปิดพระพักตร์ จะปรากฏนิ้วพระหัตถ์เป็นเส้นอยู่ในที คู่ที่ 2 ยกขึ้นปิดพระกรรณ และ คู่ที่ 3 ปิดทวารช่วงกลางพระเพลา กลางพระอุระมีตัว "อุณาโลม" เป็นเส้นนูน ส่วนพิมพ์ด้านหลังเว้าเป็นทรงตามพระวรกาย ตรงกลางมีอักขระขอมอ่านว่า "อ ร หัง" บนเศียรทำเป็นห่วงกลม ปลายห่วงทั้ง 2 ข้าง มีรอยติดหุ่นเทียนเป็นปากปลิง
ถ้าพิจารณาตามลักษณะการหล่อ พระปิดตา วัดบางกะปิ เป็นการหล่อในแบบ "พิมพ์ประกับ" คือ องค์พระจะมีตะเข็บด้านข้างทั้ง 2 ข้าง และมีรอยตัดชนวนที่ก้นทุกองค์ นอกจากนี้ ให้สังเกตที่เนื้อขององค์พระ ถ้าไม่ผ่านการใช้หรือสัมผัสจะเป็นประกายทองเหลืองอร่าม แต่ถ้าผ่านการใช้หรือสัมผัส เนื้อจะกลับคล้ำลง บางองค์กลับคล้ายสำริดก็มี

พระปิดตา วัดบางกะปิ ยังเป็นพระที่มีสนนราคาค่อนข้างถูกมากๆ เมื่อเทียบกับความเป็นเลิศในพุทธคุณที่ได้รับการพิสูจน์กันมานักต่อนักแล้ว จึงนับได้ว่าเป็นพระที่น่าสะสมมากพิมพ์หนึ่ง


สรุป : หลังจากหาข้อมูลเรียบร้อยทราบทันทีว่าพระองค์นี้พ่อคงได้รับมาในสมัยยังรับราชการทหารสมัยนั้นแน่นอน มิน่าล่ะให้ผมมาบูชาต่อผมเลยติดทหารเหมือนพ่อเลยครับ คงต้องเอาไปเข้ากรอบทองบูชาจริงจังแล้วล่ะองค์นี้..