กาลครั้งหนึ่ง ณ หมู่บ้านในชนบทแห่งหนึ่ง ชายหนุ่มวัยกลางคนเมาเหล้านอนกลิ้งไปมาบนถนนเละเทะอย่างกับหมาขี้เรื้อนสิ้นสติ วันๆ ไม่ทำงานทำงานอะไรเลย ทำตัวเป็นที่น่ารังเกียจของชุมชน ใครเห็นต่างเบื่อหน่ายตำหนิดุด่า ไม่ว่าจะเป็นคนแก่ไปถึงเด็กน้อยตาดำๆ จนมันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
อยู่มาวันหนึ่ง ในระหว่างผู้คนมากมายในงานบุญใหญ่ประจำปีของหมู่บ้าน ชายคนนั้นไม่ได้นั่งร่วมโต๊ะอาหารอย่างที่ควรจะเป็นเพราะโดนตราหน้าว่า เป็นตัวน่ารังเกียจของชุมชน ทันใดนั่นเอง ชายคนนั้นตะโกนด้วยความน้อยใจว่า "สักวันหนึ่งพวกมึงทั้งหมดทั้งหัวหงอกหัวดำทั้งหมดจะต้องยกมือกราบกูแน่นอน"
กาลเวลาล่วงเลยไประยะหนึ่ง คำที่ชายผู้นั้นประกาศก้องในวันนั้นก็เป็นจริงดังว่า ผู้คนล้วนยกมือไหว้และก้มลงกราบชายคนนั้น คำดุด่าที่เคยมีกลับมาวาจาที่ไพเราะจับใจ ทุกอย่างเกิดขึ้นแค่เพียงชายคนนั้น ตัดสินใจบวชเข้าเป็นสาวกในพระพุทธศาสนา แค่นั้นเอง
เหตุของการตัดสินใจบวชของชายขี้เมาไม่ใช่เพราะต้องการเข้าถึงแก่นธรรม หลักคำสอน ปฎิบัติ ภาวนา และน้อมนำคำสอนไปปฎิบัติเพื่อบำรุงรักษาพระศาสนา แต่เพียงเพราะ ชีวิตมันไม่มีที่ไปแล้ว ข้าวปลาอาหารยังไม่มีปัญญาหาใส่ท้องประทังชีวิต ท้ายสุดจึงเห็นศาสนาเป็นที่พึ่งสุดท้ายเท่านั้นเอง และเมื่อผู้คนเห็นว่าห่มเหลืองแล้วก็สามารถกราบไหว้ได้โดยสนิทใจ
ย้อนกลับไปตอบคำถามก่อนหน้านั้นว่าเรา คือ เราคือพุทธแท้ หรือ แค่พุทโธ่วววว!!!!! กันแน่ เรากราบไหว้สาวก พุทธรูป หรือสัญลักษณ์แห่งพระศาสดาเพียงเพราะนั่นคือสัญลักษณ์ของพุทธโดยไร้ซึ่งแก่นแห่งหลักธรรมของพระองค์เพื่อประโยชน์อันใดกัน
ศาสนาไม่ได้เสื่อมลง เพราะศาสนา คือคำสอน คือธรรมชาติ คือการปฎิบัติให้เกิดประสบการณ์ด้วยตัวเอง แต่ที่เสือมลงทุกวันเพราะคนนับถือศาสนาแต่เพียงเปลือกนอกแล้วพยายามปกป้องเปลือกนอกนั้นจนเข้าไม่ถึงแก่นธรรมที่แท้จริง